Why
ขยะที่เหมือนจะย่อยสลายได้ในเวลาอันรวดเร็วอย่าง Food Waste หรือขยะอาหาร ที่จริงแล้ว มันสร้างภาระให้โลกไม่ต่างจากกองภูเขาขยะพลาสติก ไม่เชื่อก็ลองดูสถิติต่อไปนี้ดูสิ!
แต่ละปี ทั่วโลกจะมี ขยะอาหารถูกทิ้งราวๆ 1.3 ล้านตัน นั่นเท่ากับ 1 ใน 3 ของอาหารที่ถูกผลิตขึ้นทั้งปี และมากพอให้ประชากรในทวีปแอฟริกาบริโภคได้ตลอดทั้งปี ขณะเดียวกันขยะพวกนี้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาทำร้ายโลกเรามากถึง 3,300 ล้านตันต่อปี เรียกว่าพอๆ กับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากไฟป่าทั่วโลกรวมกันเลยล่ะ
ทั้งนี้ 74% ของปริมาณขยะอาหารทั้งหมดที่เกิดขึ้น มาจากการสูญเสียในกระบวนการแปรรูปก่อนที่จะมาถึงมือเรา ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบตกเกรด พืชผักที่บอบช้ำระหว่างขนส่ง หรือสินค้าที่เหลือตามตลาดและซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนที่เป็นฝีมือของภาคครัวเรือนอย่างเราๆ คืออีก 26% ที่เหลือ
แม้เปอร์เซ็นต์จะน้อยกว่า แต่ใช่ว่าเราจะไร้บทบาท เพราะผู้บริโภคอย่างเราคือด่านสุดท้ายที่ตัดสินใจได้ว่าจะซื้ออะไร จะเก็บอะไร หรือจะทิ้งอะไรให้กลายเป็นขยะอาหาร สองมือของเรามีพลัง จริงไหม?
ทำไมโลกเราถึงมีขยะอาหารเยอะแยะขนาดนี้?
กรมควบคุมมลพิษบอกว่า ขยะอาหารในไทยคิดเป็น 64% ของปริมาณขยะทั้งหมด เท่ากับว่า เราทิ้งขยะอาหารกันไปคนละ 254 กิโลกรัมต่อปี ลองคิดง่ายๆ ว่าวันหนึ่งเรากินข้าวประมาณ 200 บาท แปลว่าเราโยนเงินร้อยกว่าบาทลงถังขยะเกือบทุกวัน!
นิสัยกินทิ้งกินขว้างก็อาจจะเป็นหนึ่งในปัญหาที่เรามักมองข้าม โดยเฉพาะการ ซื้ออาหารมาตุน มากเกินจำเป็น วัตถุดิบหลายอย่างหมดอายุก่อนจะเริ่มกินด้วยซ้ำ แถมเวลาออกไปสั่งอาหารนอกบ้าน เรายังชอบ สั่งแบบจัดใหญ่จัดเต็ม ลืมคิดไปว่าร้านๆ นั้นเสิร์ฟอาหารในปริมาณที่มากกว่าร้านทั่วไปหรือเปล่า รู้ตัวอีกทีท้องก็เริ่มอิ่มทั้งๆ ที่อาหารบางจานยังไม่พร่องเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเราทุกคนสั่งเยอะ ร้านอาหารเลยสต็อกวัตถุดิบเยอะตาม ยิ่งกับร้านที่เชื่อเรื่องการใช้วัตถุดิบสดใหม่ พอหมดวัน วัตถุดิบบางส่วนกลับต้องถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
ที่สำคัญ ปัญหาจากขยะอาหารจะไม่เกินเบอร์ไปมากกว่านี้ถ้าเราจัดการขยะเป็น แต่พอคนส่วนใหญ่ ไม่นิยมแยกขยะอาหาร มักทิ้งขยะอาหารรวมกับขยะประเภทอื่นๆ ทิ้งภาระให้เจ้าหน้าที่เก็บขยะ ด้วยกรอบของแรงและเวลาการทำงานของพวกเขา พอขยะทุกอย่างปะปนกันเยอะๆ เข้า มือสองมือก็คัดแยกไม่ไหวเหมือนกัน
ทุกวันนี้ กรุงเทพมหานคร สามารถจัดการขยะอาหารได้เพียง 2% เท่านั้น ส่วนที่เหลือเลยถูกทิ้งให้เน่าเสียต่อไปในกองภูเขาขยะ ปัจจัยนี้บวกกับมลพิษอื่นๆ รวมกันทำให้เราได้ขึ้นแรงก์ที่ไม่น่าจะมีใครภูมิใจ อย่างการเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซมีเทนมากสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก!
ความงงๆ ของตัวเลขที่เรียงกันเป็นแถบบนบรรจุภัณฑ์อาหาร ส่งผลให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง Expired Date (วันหมดอายุ) กับ Best Before Date (วันที่ควรบริโภคก่อน) การทิ้งอาหารแบบผิดๆ เลยบังเกิด!
9 ใน 10 ของคนอเมริกันทิ้งอาหารแบบไม่เข้าใจฉลากวันหมดอายุ เนื่องจากฉลากอาหารมีการระบุในรูปแบบของ Expired Date และ Best Before Date สร้างความสับสนให้คนซื้อ ผู้คนเลยเข้าใจว่าอาหารที่อยู่จนเลยวันที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์ต้องทิ้งเพื่อความปลอดภัย ทั้งๆ ที่อาหารหลายอย่างก็ยังกินต่อได้
ค่านิยมตัดสินกันที่หน้าตา บางทีก็ลามไปถึงสังคมพืชผักผลไม้
ส่งผลให้ พืชผักกว่า 40% ที่ปลูกได้ทั่วโลกโดนเท เพียงเพราะรูปร่างไม่สวย สีแปลก หรือเปลือกไม่มันเงาตามมาตรฐานความงามที่สังคมตั้งไว้ เมื่อไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ด้วยมาตรฐานที่วางไว้อย่างเข้มงวด (เกินไป) ยังนำไปสู่การคัดทิ้งผลผลิตที่มีคุณภาพอีกจำนวนมาก
ยิ่งผลไม้ที่ราคาแพง เช่น เห็ดพอร์โทเบลโล ผลไม้เมืองหนาวพรีเมียม แค่มีตำหนิหรือรอยเล็กๆ ก็อาจทำให้ถูกคัดทิ้งได้ง่าย แม้บางส่วนจะหลุดรอดมาจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ก็อาจโดนทิ้งไว้เหงาๆ บนชั้น พอเน่าเสียก็จำต้องโดนโยนทิ้งอยู่ดี
งานทดลองของนักจัดสวนในเวอร์จิเนีย ระบุว่าแอปเปิ้ลหน้าตาอัปลักษณ์มักมีรสชาติหวาน แถมยังมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมาก เช่นเดียวกับงานวิจัยที่ทดลองหาสารต้านอนุมูลอิสระในธรรมชาติ ยังพบว่า พืชผักที่โดนแมลงแทะ หรือมีหน้าตาไม่สวยกลับมีสารเหล่านี้มากกว่าพืชผักทั่วไปถึง 10-20%!
ถ้าผู้บริโภคอย่างเราเปลี่ยนค่านิยมในการซื้อผัก ยอมรับความไม่สวยไม่เพอร์เฟ็กต์ตามธรรมชาติ นอกจากจะช่วยลดขยะจากผักหน้าตาไม่สวยได้แล้ว เรายังได้ผลผลิตที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์กลับบ้านด้วย
How
ถ้าอยากเริ่มแก้ปัญหา เราไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมการกินแบบข้ามขั้น เลิกนู่นงดนี่จนทุกข์ใจ ทำแค่ในสิ่งที่เราทำไหวและพอดีกับชีวิตประจำวัน ลองเริ่มจากสำรวจตัวเองว่าส่วนใหญ่เราสร้างขยะอาหารจากอะไร แล้วเริ่มแก้ตรงนั้นก่อน เช่น ชอบซื้อนมมาตุนจนล้น ตู้เย็นที่บ้านเป็นดั่งดินแดนลึกลับสะสมของหมดอายุ หรือติดนิสัยสั่งไม่ยั้งออก เพื่อลด ละ เลิก หรือเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้นให้เป็นมิตรกับโลกขึ้นอีกนิด
เอาล่ะ มาเริ่มต้นจากง่ายไปยากกันดีกว่า!
ไม่มีการเริ่มต้นไหนง่ายกว่ากินให้เกลี้ยงจานอีกแล้ว และมันจะง่ายขึ้นอีกถ้าเรา สั่งแต่พอกิน ทำความรู้จักกระเพาะตัวเองให้มากขึ้น สังเกตว่าเรากินได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อสั่งอาหารข้างนอกจะได้กะปริมาณได้ถูกต้อง ไม่ชอบหรือไม่อยากให้ใส่อะไรก็บอกแม่ครัวไปเลย จะได้ไม่มีวัตถุดิบไหนเหลือทิ้งในจานเรา
ลดปริมาณอาหารในการกินบุฟเฟ่ต์ หลายๆ ครั้งเวลากินอาหารแบบเติมได้ไม่อั้น มื้อนั้นมักจบด้วยภาพอาหารเหลือทิ้งบนโต๊ะ ชวนมาค่อยๆ ลดการกินบุฟเฟ่ต์ คิดก่อนตัดสินใจกินให้มากขึ้น ค่อยๆ ร่วมเป็นส่วนเล็กๆ ในการช่วยลดปริมาณวัตถุดิบและอาหารที่ถูกเตรียมไว้มากเกินความต้องการของผู้บริโภค
กินไม่หมดก็เก็บไว้มื้อหน้า ถ้ายังหักดิบกับการสั่งเยอะไม่ได้จริงๆ ขอแนะนำให้พกกล่องข้าวติดตัวไปด้วย มื้อไหนทานเหลือก็เก็บใส่กล่องกลับมากินต่อที่บ้าน หรือถ้าใครพอมีสกิลทำอาหาร ของเหลือเหล่านี้ยังนำไปดัดแปลงเป็นเมนูใหม่ๆ ที่อร่อยกว่าเดิมได้ด้วยนะ
สั่งอาหารยังไง ให้อิ่มกำลังดีไม่มีเหลือ
สินค้าป้ายเหลือง คือสินค้าที่ถูกติดป้ายสีเหลืองเพื่อใกล้วันหมดอายุจนห้างร้านต้องนำมาลดราคา ส่วนใหญ่เริ่มวางขายช่วง 6 โมง – 1 ทุ่มเป็นต้นไป สินค้าพวกนี้ไม่ได้มีวันหมดอายุแบบวันนี้พรุ่งนี้เสมอไป อาหารสดบางอย่างอาจจะพอไปต่อได้อีกคืน นมและขนมปังยังเก็บต่อได้อีก 2-3 วัน หรือสินค้าประเภทเครื่องปรุง จริงๆ แล้วยังใช้การได้อีกเกือบๆ เดือน
อาหารป้ายเหลืองไม่ได้ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับแผนการกินของเราแบบอ้อมๆ ทำให้รู้ว่าควรกินอะไรให้หมดก่อนหรือหลัง ซึ่งเทคนิคการซื้อของใกล้วันหมดอายุนี้ ยังนำไปปรับใช้กับการเซฟของสดอื่นๆ ที่ไม่ร่วมโปรฯ ลดราคาได้ด้วย เช่น ถ้าอยากซื้อนมสักขวดมากินวันนี้เลย ลองเลือกซื้อขวดที่มีวันหมดอายุเร็วที่สุด แม้จะไม่เซฟเงิน แต่ก็ช่วยลดขยะอาหารได้
ความรู้ในการอ่านฉลากก็สำคัญ EXPIRED DATE คือวันที่ส่วนประกอบบางอย่างในอาหารอาจหมดอายุ ทำให้อาหารกินไม่ได้ แต่ตัวเลขนี้เป็นวันที่ที่ผู้ผลิตประเมินเท่านั้น ผู้บริโภคเองก็ควรมีส่วนร่วมในการพิจารณาอาหารก่อนกินเสมอ อาหารบางชนิดถ้าเก็บไม่ดีก็อาจหมดอายุไปก่อนวันที่กำหนดได้หลายวัน หรือบางอย่างถ้าเก็บดีหน่อยอาจอยู่ต่อไปจากวันหมดอายุได้ 1-2 วันเช่นกัน
เช็กอาหารว่าอยู่ต่อได้กี่วัน ถ้าเลยวัน ‘ควรบริโภคก่อน’
สำหรับนักช้อปที่ชอบปรุงอาหารเอง เรามีวิธีการง่ายๆ ในการช่วยลดขยะอาหารมาแนะเหมือนกัน แค่เปลี่ยนจากการเลือกซื้อพืชผักหน้าตาดี มาเป็นการเลือก หยิบพืชผักหน้าตาไม่สวยนักแต่ยังกินได้อยู่ ซึ่งมีแววว่าจะถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่ในเช้ลฟ์กลับบ้านแทน
ถ้าเป็นไปได้ ลองไปอุดหนุนผลผลิตจากเกษตรกรโดยตรง เพราะพืชผักส่วนใหญ่ที่ถูกส่งไปยังห้างร้าน มักจะถูกคัดหน้าตามาแล้วระดับหนึ่ง แต่เบื้องหลังยังมีพืชผักจำนวนมหาศาลที่ตกรอบตั้งแต่ยังไม่ทันขนออกจากไร่ ด้วยเหตุผลนี้ เกษตรกรจำนวนหนึ่งจึงเลือกเปิดแผงขายผักสดเอง แม้ว่าหน้าตาพวกมันอาจจะไม่ผ่านเกณฑ์ แต่เชื่อเถอะว่าคุณภาพแน่นไม่แพ้กัน
เซฟผักผลไม้หน้าเบี้ยว แล้วนำมาปรุงเมนูอร่อย
ด่านต่อไปนี้บอกเลยว่าเป็นด่านปราบเซียน! โดยเฉพาะใครที่เลิฟการทำอาหารที่บ้านเป็นชีวิตจิตใจ เพราะการก้าวสู่การเป็นนักกินคุณภาพที่จัดการวัตถุดิบทุกอย่างได้ดีเยี่ยม ต้องเริ่มต้นด้วยการทำ Meal Plan และการวางแผนการซื้อของเข้าบ้าน แม้จะดูซีเรียสเกินเพื่อนไปหน่อย แต่วิธีการนี้จะช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการบริโภคและทิ้งขยะอาหารของตัวเองมากขึ้นไปอีก
วิธีทำ Meal Plan
1. ขึ้นตาราง 3 มื้อ 7 วัน (ใครมีสแน็คระหว่างมื้อ จะใส่ไปด้วยก็ได้)
2. ตัดสินใจว่าแต่ละมื้อของทั้งสัปดาห์จะกินอะไรดี ใน 1 วันไม่ควรกินอาหารแบบเดียวกันมากเกินไป นอกจากเบื่อแล้วก็ยังไม่ดีต่อสุขภาพด้วยนะ
3. ลิสต์วัตถุดิบที่ต้องซื้อเพื่อทำเมนูนั้นๆ ออกมา แล้วออกแบบใช้วัตถุดิบเดียวกันให้เยอะที่สุดที่เป็นไปได้ ถ้าอยากทำหลายเมนูที่ใช้วัตถุดิบเดียวกันไม่ค่อยได้ ลองกลับไปแก้เมนูที่คิดไว้ จนกว่าจะจัดการวัตถุดิบลงตัว
4. วิเคราะห์วัตถุดิบแล้วจัดเมนูลงแต่ละวัน เมนูไหนที่ต้องใช้วัตถุดิบที่เสียหรือเหี่ยวไว เช่น ผักใบ ผักยอด ควรเป็นเมนูวันแรกๆ หลังไปจ่ายตลาด ส่วนผักหัวหรือเนื้อสัตว์ที่ฟรีซไว้พอดีมื้อ เก็บไว้ทำวันหลังๆ ก็ได้
5. ออกแบบเมนูที่ทำเผื่อไว้กินหลายๆ มื้อบ้าง เพื่อประหยัดเวลาเข้าครัว และหยอดลงไปตามมื้อต่างๆ ที่ไม่ติดกันมาก จะได้ไม่เบื่ออีก
6. ไม่ต้องเข้มข้นมาก เว้นช่องว่างไว้เผื่ออยากไปกินข้าวนอกบ้าน หรือสั่งอาหารมากินแก้เบื่อบ้างก็ได้
หลังจากสัปดาห์แรกผ่านไป ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือผิดแผนอย่างไร ลองกลับไปดูวัตถุดิบที่เหลืออยู่อีกครั้งว่ามีวัตถุดิบไหนเหลือมากพอจะนำมาต่อยอดเป็นเมนูในสัปดาห์ถัดไปได้บ้าง พอเราทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มจับทางได้ว่า ในแต่ละสัปดาห์เราควรซื้อของแค่ไหน และจะได้ไม่มีเหตุการณ์ทิ้งวัตถุดิบไหนไว้ข้างหลังให้รู้สึกเสียดายและเสียใจอีก
ถ้าอยากแอดวานซ์ไปกว่านั้น พวกเศษผัก เปลือก หรือผักผลไม้ที่กินไม่ทันเน่าจริงๆ ลองหา ถังหมักปุ๋ย มาติดบ้าน ช่วยกำจัดขยะเศษอาหารได้หมดจด กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ และไม่ต้องแบกขยะไปร่วมด้วยช่วยเหม็นในถังขยะหมู่บ้านอีกเลย
เคล็ดลับเก็บอาหารในตู้เย็น ให้อยู่ได้นานแบบมือโปร
Where
แนะนำสารคดีน่าสนใจ และรายการสนุกๆ เกี่ยวกับขยะอาหาร
● สารคดี Wasted! The Story of Food Waste ตามไปดูเส้นทางขยะอาหารที่เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการผลิตมาจนถึงห้องครัวแต่ละบ้าน ทำให้เราเข้าใจว่าการจัดการอาหารที่ดีนั้นสำคัญต่อคนและโลกยังไงบ้าง
● รายการ Best Leftover Ever! รายการแข่งขันทำอาหารที่ชวนเชฟมารังสรรค์เมนูกินเหลือให้เป็นอาหารมื้อใหม่ที่น่านำไปปรับใช้ในครัวเล็กๆ ของเรา
ตามไปคุยกับนักกิจกรรม และเกษตรกรที่มุ่งมั่นลดขยะอาหารอย่างจริงจัง
● พลอย - นันทพร ตีระพงศ์ไพบูลย์ เจ้าของเพจ Deliconscious และ Natural Chef หรือผู้คิดค้นสูตรอาหารบำบัดโรคร่วมกับนักโภชนาการที่พร้อมมอบไอเดียสดใหม่เรื่องการกิน Plant-based food หรืออาหารจากพืชยังไงให้อร่อยและได้ประโยชน์ครบถ้วน
● ลุงรีย์ - ชารีย์ บุญญวินิจ เจ้าของฟาร์มลุงรีย์ ฟาร์มในเมืองที่รับขยะอาหารจากร้านที่ร่วมงานกับฟาร์มมาเปลี่ยนเป็นปุ๋ยอินทรีย์ มีคอร์สแปรขยะเป็นปุ๋ยให้เราลงมือทำ นอกจากจะได้ความรู้ดีๆ แล้วยังได้ปุ๋ยคุณภาพกลับฝากต้นไม้ที่บ้านด้วย
แวะไปอุดหนุนร้านค้าที่ใส่ใจทุกกระบวนการผลิตจนแทบไม่มีขยะเหลือทิ้ง
● Baan Tepa Culinary Space ร้านอาหารเชฟเทเบิ้ลของ เชฟตาม - ชุดารี เทพาคำ Top Chef Thailand คนแรกของประเทศไทยที่ตั้งใจทำครัวแบบไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยระบบจัดการขยะอาหารในร้านที่ไม่ทิ้งของเหลือ รวมถึงการหยิบวัตถุดิบเหลือใช้มามาทำการหมักดอง รังสรรค์รสชาติที่ดีต่อโลกแถมยังดีต่อสุขภาพเราด้วย
●Wasteland บาร์ (ไม่ลับ) ใต้หลังคาร้าน Bo.Lan ของ เชฟโบ - ดวงพร ทรงวิศวะ ที่จริงจังกับเรื่องการสร้างระบบจัดการขยะในร้านและการใช้วัตถุดิบทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด ให้ทุกๆ จานกลายเป็นมื้ออาหารที่คนปรุงและคนกินไม่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์
● แทนคุณ ออร์แกนิกฟาร์ม ฟาร์มไก่ออร์แกนิกที่เลี้ยงไก่แบบ Zero Waste ด้วยแกลบและรำเหลือทิ้งจากเหล่าเกษตรกรในเครือ หากอยากได้ไก่ทั้งตัวมาทำเมนูหม้อใหญ่ ทักฟาร์มนี้ไปได้เลย
● Laika ขนมสำหรับสุนัขที่ทำจากแมลงโปรตีนสูง เลี้ยงด้วยเศษผักออร์แกนิกคุณภาพดีที่ถูกคัดทิ้งจากโรงงานแปรรูปอาหาร ถือเป็นโอกาสให้ลูกพี่ที่บ้านได้ร่วมช่วยโลกใบนี้ด้วย
● Biotrash ถังหมักปุ๋ยขนาดเล็กจากฟาร์มลุงรีย์ เปลี่ยนขยะอาหารเป็นน้ำหมักและปุ๋ย เหมาะสำหรับคนอยู่คอนโดฯ และบ้านขนาดเล็ก
● ผักDone ถังหมักปุ๋ยแบบคอนโดดินเผาสำหรับบ้านขนาดกลาง เพราะดินเผาระบายความชื้นได้ดีทำให้ปุ๋ยที่เราหมักไว้ไม่เน่า เวลาอยากตักปุ๋ยมาใช้ก็ง่ายแสนง่ายแค่เปิดช่องเปิด-ปิดที่ดีไซน์ไว้ชั้นล่างสุดของถัง
● หมักง่าย ถังหมักปุ๋ยมือหมุนขนาดใหญ่ที่ใช้งานง่ายสมชื่อ เหมาะสำหรับบ้านที่มีสมาชิกหลายคน รวมทั้งบ้านที่มีพื้นที่สำหรับปลูกต้นไม้เยอะๆ
กลุ่มสร้างสรรค์ที่ทำงานเพื่อลดขยะอาหาร ที่เราสามารถยื่นมือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่ออาหารหรือวัตถุดิบส่วนเกินได้
● Scholar of Sustenance Thailand (SOS) Scholar of Sustenance Thailand (SOS) มูลนิธิช่วยชีวิตอาหารและผลักดันเรื่องการทำปุ๋ยอินทรีย์ที่เราสามารถส่งต่อวัตถุดิบหรืออาหารส่วนเกินไปร่วมโครงการ ‘ครัวรักษ์อาหาร’ ที่นำวัตถุดิบเหล่านั้นไปประกอบอาหารให้กับผู้ขาดแคลน
● กลุ่มปันอาหารปันชีวิต กลุ่มปันอาหารปันชีวิต กลุ่มปันอาหารของเครือข่ายสวนผักคนเมืองที่รวบรวมอาหารสภาพดีที่คนในเมืองกินไม่ทัน ใครถนัดเปย์ ทางกลุ่มยังรับบริจาคเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินการแบ่งปันอาหารให้กลุ่มเปราะบางอย่าง กลุ่มแรงงานนอกระบบ และกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงด้วยนะ
อ่านเนื้อหาถัดไปกันเลย!